More Related Content
Similar to โครงงาน แบงค์ (20)
More from Aungkana Na Na (20)
โครงงาน แบงค์
- 1. ชือโครงงาน สาวใช้ ไฮเทค
วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ
จัดทําโดย
นายวิชญะ พรประสาท เลขที 2
นายพีระพงษ์ หลุยบุญเป็ ง เลขที 24
นายธีรศักดิ" สุ ยะวา เลขที 37
ชั%นมัธยมศึกษาปี ที 6/13
เสนอ
ครู เขือนทอง มูลวรรณ
ภาคเรียนที 2 ปี การศึกษา 2555
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
- 2. บทที1
บทนํา
ทีมาและความสํ าคัญ
ั
ปั จจุบนเราทุกคนในสังคมต่างมีความเกี ยวข้องกับสารเคมีกนทุกๆวัน ตั%งแต่เราเริ มตื นนอนจนถึ งเข้า
ั
่
นอน รวมไปถึงการดําเนิ นชี วิตในหนึ งวันทีมีสารเคมีมาเกียวข้อง ไม่วาจะเป็ นการแปรงฟั นในตอนเช้า การ
ดื มนมในตอนเย็น การล้างจาน ก็ลวนแล้วแต่มีสารเคมีมาเกี ยวข้องทั%งนั%น ดังนั%นเมื อทุ กคนหลี กเลี ยงสาร
้
เหล่านี%ไม่ได้ก็ยอมเจอปั ญหาโรคต่างๆ โดยเฉพาะผูทีต้องเผชิญกับสารเคมีทุกๆวันในขณะทีเรา ล้างจาน จาก
่ ้
ความสําคัญนี% ทางผูจดทําจึงได้จดตั%งทําโครงงาน เรื อง สาวใช้ไฮเทค เพือทีเราจะสามารถลดอัตราการเผชิ ญ
้ั ั
กับสารเคมีในขณะทีล้างจาน อีกทั%งยังเป็ นการนําสิ งทีเราไม่ใช่แล้ว คือ ขี%เถ้า นํากลับมาใช้อีกครั%ง และยังเป็ น
การนําทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้
วัตถุประสงค์
1.เพือศึกษาวิธีการทํา นํ%ายาล้างจานจากขี%เถ้า
2.นําสิ งทีเราไม่ใช้แล้วกลับมาใช้อีกครั%งและเป็ นประโยชน์ลดการเสี ยงการใช้สารเคมีในขณะทีล้างจาน
ปัญหา
ขี%เถ้า สามารถนํามาทําเป็ นนํ%ายาล้างจานได้
สมมติฐาน
ขี%เถ้า สามารถนํามาทํานํ%ายาล้างจานได้ และลดอัตราการเผชิ ญการใช้สารเคมีในขณะทีล้างจาน
ตัวแปรทีต้ องศึกษา
ตัวแปรต้น ขี%เถ้า
ตัวแปรตาม นํ%ายาล้างจาน
ตัวแปรควบคุม มะนาว นํ%า กระดาษลิตมัส ระยะเวลา
- 3. ระยะเวลา
ตั%งแต่วนที 1 กุมภาพันธ์ 2556 - 21 กุมภาพันธ์ 2556
ั
งบประมาณ
120 บาท
ขอบเขตการศึกษา
นํ%ายาล้างจาน คือ นํ%ายาทีทํามาจาก ขี%เถ้า
- 4. บทที 2
เอกสารอ้ างอิง
ขีเ4 ถ้ า
ลักษณะขี4เถ้ าหลังเผา ลักษณะของขี%เถ้าหลังจากเผาจะมี ลกษณะเป็ นทั%งผงสี เทาดําและเป็ นก้อนตาม
ั
ลักษณะพืชทีนํามาเผา
โซเดียมคาร์ บอเนต หรื อ โซดา แอช สู ตรเคมี คือ Na2CO3 เป็ นสารประกอบเกลื อของกรดคาร์ บอนิ ก มี
ลักษณะเป็ นผงสี ขาว ไม่มีกลิ น สามารถดูดความชื% นจากอากาศได้ดี ละลายได้ในนํ%า มีฤทธิ" เป็ นด่างแก่เมือ
ละลายนํ%า ละลายได้เล็กน้อยในแอลกอฮอล์ พบในขี% เถ้าของพืชหลายชนิ ดและสาหร่ ายทะเล (จึ งได้ชือว่า
โซดา แอช เนื องจาก แอช ในภาษาอังกฤษ หมายถึ ง ขี%เถ้า) เป็ นสารเคมี ทีใช้ใ นอุ ตสาหกรรมหลายชนิ ด
เช่น แก้ว เซรามิคส์ กระดาษ ผงซักฟอก สบู่ การแก้ไขนํ%ากระด้าง
โซเดี ยมคาร์ บ อเนต พบได้ในธรรมชาติ ในเขตแห้งแล้ง โดยเฉพาะอย่างยิงในแหล่ งแร่ ที เกิ ดจาก
ทะเลสาบที ระเหยแห้งไป ในสมัยอี ยิปต์โบราณ มี การขุดแร่ ทีเรี ยกว่า เนทรอน (natron) (ซึ งเป็ นเกลื อที
ประกอบด้วยโซเดียมคาร์ บอเนต (หรื อ โซดา แอช) และโซเดียมไบคาร์ บอเนต (เบกกิ%ง โซดา) และมีโซเดียม
คลอไรด์ (เกลื อแกง) และโซเดี ย มซัล เฟต ปนอยู่เล็ กน้อย) จากก้นทะเลสาบที แห้ง ใกล้แม่ น% ําไนล์ และ
นํามาใช้ในการทํามัมมี ใน ปี พ.ศ. 2481 (ค.ศ. 1938) พบแหล่งแร่ โซเดี ยมคาร์ บอเนตขนาดใหญ่ใกล้แม่น% า ํ
กรี นริ เวอร์ มลรัฐไวโอมิง สหรัฐอเมริ กา ทําให้สหรัฐขุดแร่ มาใช้แทนการผลิตทางกรรมวิธีทางเคมี
ในประเทศอืน ๆ การผลิ ตโซเดียมคาร์ บอเนตทําโดยกรรมวิธีทางเคมีทีเรี ยกว่า กระบวนการโซลเวย์
(Solvay process) ซึ งค้นพบโดย เออร์ เนส โซลเวย์ นักอุตสาหกรรมเคมีชาวเบลเยียม ในปี พ.ศ. 2404 (ค.ศ.
1861) โดยเปลี ยน โซเดียมคลอไรด์ (นํ%าเกลื อ) เป็ น โซเดี ยมคาร์ บอเนต โดยใช้ แอมโมเนี ย และ แคลเซี ยม
คาร์ บอเนต (หิ นปูน) และสารที เหลื อจากกระบวนการมี เพียง แคลเซี ยมคลอไรด์ ซึ งไม่เป็ นพิษแม้ว่าอาจ
ก่อให้เกิดความระคายเคืองได้ และ แอมโมเนี ยนั%นยังสามารถนํากลับมาใช้ได้อีก ทําให้กระบวนการโซลเวย์
มีตนทุนการผลิ ตทีตํากว่ากรรมวิธีแบบเดิ มมาก จึงถูกนํามาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิ ตโซเดี ยมคาร์ บอเนต
้
อย่างแพร่ หลาย ในคริ สต์ศตวรรษ 1900 โซเดี ยมคาร์ บอเนต 90% ที ผลิ ต ใช้วิธีการนี% และยังคงใช้อยู่ใน
ปั จจุบน
ั
เดิ มนั%นการผลิ ตโซเดี ยมคาร์ บอเนตทําโดยกระบวนเคมี ทีเรี ยกว่า กระบวนการเลอบลังก์ (Leblanc
process) ซึ งค้นพบโดยนักเคมี ชาวฝรังเศส ชื อ นิ โคลาส เลอบลังก์ ในปี พ.ศ. 2334(ค.ศ. 1791) โดยใช้
โซเดี ยมคลอไรด์ (เกลือแกง) กรดซัลฟูริก (กรดกํามะถัน) แคลเซี ยมคาร์ บอเนต (หิ นปูน) และถ่าน แต่กรด
- 5. ไฮโดรคลอริ ค (กรดเกลื อ) ทีเกิ ดจากกระบวนการนี% ทําให้เกิ ดมลพิษทางอากาศ และแคลเซี ยมซัลไฟด์ ที
เหลือจากกระบวนการทําให้เกิดปั ญหาต่อสิ งแวดล้อม แต่เนืองจากโซเดียมคาร์ บอเนตเป็ นสารเคมีพ%ืนฐานใน
อุตสาหกรรมหลายชนิ ด ทําให้มีการผลิตโซเดี ยมคาร์ บอเนตโดยกรรมวิธีน% ี และเป็ นกรรมวิธีหลักมาจนถึ ง
ช่วงปี พ.ศ. 2423 - 2433 (ช่วง ค.ศ. 1880 - 1890) หลังการค้นพบกระบวนการโซลเวย์ กว่า 20 ปี โรงงานผลิต
แคลเซี ยมคาร์ บอเนตทีใช้กระบวนการ เลอบรังค์แห่งสุ ดท้ายปิ ดลงในช่วงปี พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920)
ข้ อระวัง
• การกลืนหรื อกิน อาจทําให้เกิดความระคายคอ วินเวียนศีรษะ
• การหายใจ สู ดดม ก่อให้เกิดอันตราย ควรหลีกเลียง โดยเฉพาะอย่างยิงการได้รับเป็ นเวลานาน
• การสัมผัสทางผิวหนัง ก่อให้เกิดความระคายเคือง อาจเกิดอาการแสบไหม้ หากเข้าตา จะเกิดอาการ
ระคายเคืองอย่างรุ นแรง เป็ นอันตราย
ประโยชน์
ใช้ทาความสะอาดภาชนะหรื อเครื องใช้ในครัว
ํ
อาการเมือเป็ นพิษ
ความเป็ นพิษของสารนี% ต่อมนุ ษย์จดว่าเป็ นพิษน้อย โดยทัวไปอาจก่อให้เกิ ดอาการระคายเคืองต่อ
ั
ผิวหนัง หรื อตาได้เล็กน้อย ในการทดลองการก่อการระคายเคืองของสารนี% ต่อผิวหนังและตาในกระต่าย
พบว่าสารนี% สามารถก่อให้เกิ ดการระคายเคืองทีตาได้ในความเข้มข้น 5% ส่ วนทีผิวหนังต้องใช้ในความ
เข้ม ข้นที สู งประมาณ 47-50% ส่ วนความเป็ นพิ ษเมื อรั บ ประทานนั%น ต้องได้รับ สารนี% ในความเข้มข้น
มากกว่า 65%3 และจากการทดลองในหนูพบว่าปริ มาณสารมากทีสุ ดทียังปลอดภัยเมือรับประทาน คือ 85
มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน4 อาการเป็ นพิษทีพบได้ในหนูจะพบความผิดปกติ ดังนี% เดินโซเซ ขนตั%งชัน การ
หายใจลดลง ง่วงซึ ม หนังตาตก ท้องเสี ย เป็ นต้น
การวินิจฉัย
กรณี รับประทาน หากรับประทานในปริ มาณไม่มากจะไม่พบอาการผิดปกติ แต่เมือได้รับใน
ปริ มาณมากอาจมีอาการเจ็บปากและลิ%น คลืนไส้อาเจียนท้องเสี ยกรณี เข้าตา ทําให้รู้สึกระคายเคือง ปวดแสบ
ทีตา
- 6. การปฐมพยาบาล
กรณี รับประทาน ห้ามทําให้อาเจียน ให้รีบดืมนํ%าหรื อนมมาก ๆ เพือลดการดูดซึ ม แล้วรี บนําผูป่วย
้
ส่ งแพทย์ทนที
ั
กรณี เข้าตา ให้รีบล้างตาด้วยนํ%ามาก ๆ จนอาการระคายเคืองตาหายไป หากไม่ดีข% ึนควรนําผูป่วยพบ
้
แพทย์
นํา
4
นํ4า เป็ นของเหลวชนิ ดหนึ ง ที มี อยู่มากที สุ ดบนผิวโลก และเป็ นปั จจัยสําคัญต่อการดํา รงชี วิตของ
สิ งมี ชีวิตทุ กชนิ ดที มนุ ษย์รู้จก เราสามารถพบนํ%าได้ในหลายๆ สถานที อาทิ ทะเล ทะเลสาบ แม่น% า ห้วย
ั ํ
หนอง คลอง บึง และในหลายๆ รู ปแบบ เช่น นํ%าแข็ง หิ มะ ฝน ลูกเห็บ เมฆ และไอนํ%า
นํ%ามีรูปแบบและสถานะเป็ นของเหลว แต่น% าก็ยงมีในรู ปของสถานะของแข็งทีเรี ยกว่านํ%าแข็ง และ
ํ ั
สถานะแก๊สทีเรี ยกว่าไอนํ%า นํ%าปริ มาณประมาณ 1.460 เพตะตัน ปกคลุ ม 71% บนพื%นผิวโลก ส่ วนมากใน
มหาสมุ ท รและในแหล่ ง นํ%า แห่ ง ใหญ่ ท วไป นํ%า 1.6% อยู่ภายใต้หินหรื อพื% นดิ นที ยัง มี น% า แข็ง อยู่ และอี ก
ั ํ
่
0.001% อยูในอากาศในรู ปแบบของไอนํ%าและก้อนเมฆซึ งเป็ นลักษณะของส่ วนของของแข็งและของเหลว
ลอยอยู่บ นอากาศและเกิ ด การตกตะกอน[1] นํ%า บนโลกบางส่ วนถู ก บรรจุ ล งในสิ งของต่ า ง ๆ ที เกิ ดโดย
ธรรมชาติและทีมนุ ษย์สร้ างขึ%นบนโลก อย่างเช่ น อ่างเก็บนํ%า ในร่ างกายของสัตว์และพืช ผลิ ตภัณฑ์ต่าง ๆ
และร้านอาหาร
นํ%าในมหาสมุ ทรมีอยู่มากถึ ง 97% ของพื%นผิวนํ%าทั%งหมดบนโลก ธารนํ%าแข็งและนํ%าแข็งขั%วโลกอี ก
2.4% และที เหลื อคื อนํ%า ที อยู่บนพื%นดิ นเช่ น แม่ น% า ทะเลสาบ บ่ อนํ%า อี ก 0.6% นํ%าเคลื อนที อย่า งต่ อเนื อง
ํ
ผ่านวัฏจักรของการกลายเป็ นไอหรื อการคายนํ%า การตกลงมาเป็ นฝน และการไหลของนํ%าซึ งโดยปกติจะไหล
ไปสู่ ท ะเล ลมเป็ นตัวพาไอนํ%า ผ่านหนื อพื% นดิ นในอัตราที เท่า ๆ กันเช่ นเดี ยวกับ การไหลออกสู่ ทะเล นํ%า
บางส่ วนถูกกักขังไว้เป็ นเวลาหลายยุคหลายสมัยในรู ปแบบของนํ%าแข็งขั%วโลก ธารนํ%าแข็ง นํ%าทีอยู่ตามหิ น
หรื อดิ น หรื อในทะเลสาบ บางครั%งอาจมีการหานํ%าสะอาดมาเลี%ยงสิ งมีชีวิตบนพื%นดิ น นํ%าใสและสะอาดนั%น
เป็ นสิ งจําเป็ นต่อมนุษย์และสิ งมีชีวตอืน ๆ
ิ
นํ%า มี ส มบัติเป็ นตัวทําละลายที ดี ม าก เราจึ ง ไม่ ค่อยพบนํ%า บริ สุท ธิ" ในธรรมชาติ ดังนั%นนํ%า สะอาดที
เหมาะสมต่อการบริ โภคของมนุ ษย์จึงเป็ นทรัพยากรทีมีค่ายิง ในบางประเทศปั ญหาการขาดแคลนนํ%าเป็ น
ปั ญหาใหญ่ทีส่ งผลกระทบต่อสังคม และเศรษฐกิจของประเทศนั%นอย่างกว้างขวาง
- 7. การตกกระแทกของหยดนํา
4
นํ%ามีหลายรู ปแบบ เช่ น ไอนํ%าและเมฆบนท้องฟ้ า คลื นและก้อนนํ%าแข็งในทะเล ธารนํ%าแข็งบนภูเขา
นํ%าบาดาลใต้ดิน ฯลฯ นํ%าเปลียนแปลงรู ปแบบ สถานะ และสถานทีของมันตลอดเวลา โดยผ่านกระบวนการ
กลายเป็ นไอ ตกลงสู่ พ%ืนดิ น ซึ ม ชะล้าง และไหล ก่อให้เกิ ดการหมุนเวียนของนํ%าบนผิวโลกเรี ยกว่าวัฏจักร
ของนํ%า
เนื องจากการตกลงมาของนํ%ามีความสําคัญอย่างยิงต่อการเกษตรและต่อมนุ ษย์โดยทัวไป มนุ ษย์จึง
เรี ยกการตกลงมาของนํ%าแบบต่างๆ ด้วยชือเฉพาะตัว ฝน ลูกเห็บ หมอก และนํ%าค้างเป็ นการตกลงมาของนํ%าที
พบได้ทวโลก แต่หิมะและนํ%าค้างแข็งมีเฉพาะในประเทศเขตหนาว รุ ้งเป็ นปรากฏการณ์ทีเกิดขึ%นเมือละออง
ั
นํ%าในอากาศต้องแสงอาทิตย์ในมุมทีเหมาะสม
นํ%ามีความสําคัญต่อมนุ ษย์ไม่แพ้การตกลงมาของนํ%า มนุ ษย์ใช้การชลประทานผันนํ%าจากแม่น% าและ
ํ
แหล่ งนํ%าจื ดอื นๆ มาใช้ในการเกษตร แม่น% าและทะเลเป็ นเส้ นทางคมนาคมสําคัญที เปิ ดโอกาสมนุ ษย์ไ ด้
ํ
ท่องเทียวและทําการค้าขาย การชะล้างและการกัดกร่ อนพื%นดินของนํ%าทําให้เกิดภูมิประเทศ อาทิ หุ บเขาและ
สามเหลี ยมปากแม่น% า ซึ งเป็ นทีราบทีมีดินอุ ดมสมบูรณ์ เหมาะสมแก่การเพาะปลูกและการตั%งถิ นฐานของ
ํ
มนุษย์
นํ%ายังซึ มผ่านดินลงสู่ ทางนํ%าใต้ดิน นํ%าใต้ดินเหล่านี% จะไหลกลับไปอยูเ่ หนื อพื%นดินทางธารนํ%า หรื อใน
บางภูมิประเทศเป็ นธารนํ%าร้อนหรื อนํ%าพุร้อน มนุษย์รู้จกนํานํ%าใต้ดินมาใช้โดยการสร้างบ่อนํ%า
ั
เนื องจากนํ%าเป็ นตัวทําละลายพื%นฐาน สามารถละลายสารได้ ทั%ง 3 สถานะ ทั%ง ก๊าซ ของเหลว และ
ของแข็ง เพราะฉะนั%นเราจึ งหานํ%าบริ สุทธิ" ได้ยาก เพราะนํ%าทัวไปมี ก๊าซ เกลื อ และสารอื นๆละลายปนอยู่
ส่ วนมากทีพบคือ ออกซิ เจน คาร์ บอนไดออกไซด์ โซเดี ยมคลอไรด์ ซัลเฟอร์ ไดออกไซด์ ฯ นํ%าจากแหล่ ง
่
ต่างๆ จึงมีสี กลิน และรสต่างกันไป เพือความอยูรอด มนุ ษย์และสัตว์ได้พฒนาประสาทสัมผัสเพือแยกแยะ
ั
นํ%าทีดื มได้และดื มไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่ น สัตว์บกส่ วนมากจะไม่ดืมนํ%าทะเลทีมีรสเค็มและนํ%าในบึงทีมีกลิน
เน่าเหม็น แต่จะชอบนํ%าบริ สุทธิ"ทีมาจากนํ%าพุหรื อทางนํ%าใต้ดิน
คุณสมบัติทางเคมีและฟิ สิ กส์
่
นํ%าเป็ นสารเคมีชนิ ดหนึ งทีเขียนสู ตรเคมีได้วา H2O: นํ%า 1 โมเลกุลประกอบด้วยไฮโดรเจน 2 อะตอม
สร้างพันธะโควาเลนต์รอบออกซิ เจน 1 อะตอม
คุณสมบัติหลักทางเคมีและฟิ สิ กส์ ของนํา
4
- 8. • นํ%าเป็ นของเหลวทีไม่มีรส ไม่มีกลิน ใสไม่มีสี ทีอุณหภูมิและความดันปกติ นํ%าแข็งก็ดูไม่มีสีเช่นกัน และ
สําหรับนํ%าในสถานะแก๊สนั%นโดยปกติเราจะมองไม่เห็นมันเลย
• ่
นํ%าเป็ นของเหลวโปร่ งใส ดังนั%นพืชนํ%าจึงสามารถอยูในนํ%าได้เพราะมีแสงสว่างส่ องมันอย่างทัวถึง จะมี
เพียงแสงอุลตร้าไวโอเลตและอินฟราเรดเท่านั%นทีจะถูกนํ%าดูดซับเอาไว้
• นํ%ามีสถานะเป็ นของเหลวในสภาวะปกติ
• นํ%า เป็ นโมเลกุล มี ข% ว เพราะว่าออกซิ เจนมี ค่า อิ เล็ ก โทรเนกาติ วิตี (Electronegativity: EN) สู งกว่า
ั
ไฮโดรเจน ออกซิ เจนมีข% วลบ ในขณะทีไฮโดรเจนมีข% วบวก แสดงว่านํ%าเป็ นโมเมนต์ข% วคู่ ปฏิกิริยาระหว่างขั%ว
ั ั ั
ของแต่ละโมเลกุลเป็ นเหตุให้เกิดแรงดึงดูดทีเชือมโยงกับมวลรวมของนํ%าของความตึงผิว
• แรงยึดเหนียวสําคัญอืน ๆ ทีทําให้โมเลกุลของนํ%าเสี ยบเข้าสู่ อีกอันหนึงเรี ยกว่าพันธะไฮโดรเจน
• ่ ั
จุดเดือดของนํ%า (รวมถึงของเหลวอืน ๆ) ขึ%นอยูกบความกดดันของบรรยากาศ ตัวอย่างเช่น บนยอดเขาเอ
เวอเรสต์ นํ%าจะเดือดทีอุณหภูมิ 68 องศาเซลเซี ยส เปรี ยบเทียบกับ 100 องศาเซลเซี ยสทีระดับนํ%าทะเล ในทาง
กลับกัน เขตนํ%าลึกในมหาสมุทรใกล้รอยแตกของเปลื อกโลกเนื องจากภูเขาไฟระเบิด อุณหภูมิอาจขึ%นเป็ น
หลายร้อยองศาและยังคงสถานะเป็ นของเหลวเหมือนเดิม
• นํ%า จะไหลเข้า หาตัวมันเอง นํ%า มี ค่ า ความตึ ง ผิวสู ง ซึ งเกิ ด จากการประสานกันอย่า งแข็ ง แรงระหว่า ง
โมเลกุ ล ของนํ%า เพราะว่า มันมี ข% ว ความยืดหยุ่นที เห็ นได้ชัดเกิ ดจากค่ า ความตึ ง ผิวคอยควบคุ ม ให้ค ลื นมี
ั
ลักษณะเป็ นพริ% ว
• นํ%ามีข% วแม่เหล็กจึงมีคุณสมบัติการยึดติดสู ง
ั
• การแทรกซึ มของนํ%าตามรู เล็กกล่าวถึงแนวโน้มของนํ%าทีจะไหลอยู่ในหลอดเล็ก ๆ ซึ งต้านกับแรงโน้ม
ถ่วง คุณสมบัติน% ีถูกพึงพาโดยพืชสี เขียวเช่นต้นไม้
• ่
นํ%าเป็ นตัวทําละลายทีดี เรี ยกได้วานํ%าเป็ น ตัวทําละลายสากล สามารถละลายสสารได้หลายชนิ ด สสารที
ละลายกับนํ%าได้ดี เช่น เกลือ นํ%าตาล กรด ด่าง และแก๊สบางชนิ ด โดยเฉพาะออกซิ เจน คาร์ บอนไดออกไซด์
เรี ยกว่า ไฮโดรฟิ ลิ ก หรื อสสารที ชอบนํ%า ขณะที สสารที ละลายนํ%าได้น้อยหรื อไม่ได้เลย เช่ น ไขมัน และ
นํ%ามัน เรี ยกว่า ไฮโดรโฟบิก หรื อสสารทีไม่ชอบนํ%า
• ทุกองค์ประกอบทีสําคัญในเซลล์ (โปรตีน ดีเอ็นเอ และ โพลีแซคคาไรด์) จะละลายได้ในนํ%า
• นํ%าบริ สุทธิ" มีค่าการนําไฟฟ้ าทีตํา แต่ค่านี% จะเพิมขึ%นอย่างมีนยสําคัญกับปริ มาณของสารประกอบไอออ
ั
นิก เช่น โซเดียมคลอไรด์ ทีละลายอยูในนํ%า ่
• นํ%ามีค่าความร้อนจําเพาะสู งเป็ นอันดับ 2 ในบรรดาสสารทีรู ้ จก รองจากแอมโมเนี ย อีกทั%งยังมีค่าความ
ั
ร้อนแฝงของการกลายเป็ นไอสู งเช่ นกัน (40.65 กิโลจูลต่อโมล) ซึ งทั%งสองคุณสมบัติน% ีเป็ นผลมาจากพันธะ
ไฮโดรเจนครอบคลุ มเป็ นบริ เวณกว้างระหว่างโมเลกุล คุ ณสมบัติทีไม่ธรรมดา 2 ประการนี% ช่วยทําให้น% า ํ
บรรเทาความรุ นแรงของสภาพภูมิอากาศบนโลกได้โดยการดูดซับอุณหภูมิทีผันผวนอย่างมากเอาไว้
- 9. • ภาวะทีนํ%ามีความหนาแน่นสู งทีสุ ดคือทีอุณหภูมิ 3.98 องศาเซลเซี ยส[2] เป็ นคุณสมบัติทีไม่ปกติทีมีความ
หนาแน่นลดลงไม่ใช่เพิมขึ%นของนํ%าเมือได้รับความเย็นจนเปลียนเป็ นสถานะของแข็ง (กลายเป็ นนํ%าแข็ง) ใน
สถานะของแข็งนี%จะมีปริ มาตรเพิมขึ%น 9% ซึ งเป็ นสาเหตุของข้อเท็จจริ งทีนํ%าแข็งลอยนํ%าได้
• สามารถแยกนํ%าออกเป็ นไฮโดรเจน และออกซิ เจน ได้โดยวิธีอิเล็กโตรไลสี ส
• สารบางชนิด เช่น โซเดียม ลิเทียม แคลเซี ยม โพแทสเซี ยม เป็ นต้น เมือถูกนํ%าจะปล่อยแก๊สไวไฟออกมา
หรื อมีปฏิกิริยาอย่างรุ นแรงกับนํ%า
กระดาษลิตมัส
อินดิเคเตอร์ คือ สารทีใช้ทดสอบความเป็ นกรด เบสของสารต่าง ๆ และสี ของสารนี% จะเปลียนไปเมือ
ค่าความเป็ นกรด – เบสเปลียนไป
กระดาษลิตมัส ซึ งมี 2 สี คือ กระดาษลิตมัสสี น% าเงินและสี แดงเมือทดสอบกับดินจะเกิดการเปลียนแปลงดังนี%
ํ
- ดินเป็ นกรดจะเปลียนกระดาษลิตมัสสี น% าเงินเป็ นสี แดงแต่สีแดงไม่เปลียนแปลง
ํ
- ดินเป็ นเบสจะเปลียนกระดาษลิตมัสสี น% าเงินเป็ นสี แดงแต่สีแดงไม่เปลียนแปลง
ํ
- ดินเป็ นกลาง จะไม่เปลียนสี กระดาษลิตมัสทั%งสี น% าเงินและสี แดง
ํ
มะนาว
ในผลมะนาวมีน% ามันหอมระเหยถึง 7% แต่กลินไม่ฉุนอย่างมะกรู ด นํ%ามะนาวจึงมีประโยชน์สําหรับ
ํ
ใช้เป็ นส่ วนผสมนํ%ายาทําความสะอาด เครื องหอม และการบําบัดด้วยกลิน (aromatherapy) หรื อนํ%ายาล้างจาน
ส่ วนคุ ณสมบัติทีสําคัญ ทว่าเพิงได้ทราบเมือไม่ชานานมานี% (ราวคริ สต์ศตวรรษที 2) ก็คือ การส่ งเสริ มโรค
้
ลักปิ ดลักเปิ ด ซึ งเคยเป็ นปั ญหาของนักขายโรตีมาช้านาน ภายหลังได้มีการค้นพบว่าสาเหตุทีมะนาวสามารถ
ช่วยป้ องกันโรคลักปิ ดลักเปิ ด เพราะในมะนาวมีไวตามินซี เป็ นปริ มาณมาก
มะนาวมี ส่ วนประกอบของสารซิ โตรเนลลัล (Citronellal) ซิ โครเนลลิ ล อะซี เตต (Citronellyl
Acetate) ไลโมนี น (Limonene) ไลนาลูล (Linalool) เทอร์ พีนีออล (Terpeneol) ฯลฯ รวมทั%งมีกรดซิ ตริ ค
(Citric Acid) กรดมาลิค (Malic Acid) และกรดแอสคอร์ บิก (Ascorbic Acid) ซึ งถือเป็ นกรดผลไม้ (AHA :
Alpha Hydroxy Acids) กลุ่มหนึง เป็ นทียอมรับว่าช่วยให้ผิวหน้าทีเสื อมสภาพหลุดลอกออกไป พร้อมๆ กับ
ช่วยกระตุนการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ช่วยให้รอยด่างดําหรื อรอยแผลเป็ นจางลง
้
- 10. ความเป็ นกรด – เบส
ั
กรด (Acid) หมายถึง สสารทีปล่อยประจุไฮโดรเนี ยม (H3O+) ให้กบสารละลาย ตัวอย่างเช่น เมือ
ผสมนํ%ากับกรดเกลือ ทําให้เกิด ประจุไฮโดรเนียม และประจุแคลเซี ยม ตามสู ตร H2O + HCl -> (H3O+) + Cl-
สสารทีเป็ นกรด ได้แก่ กรดกํามะถัน (H2SO4) นํ%าส้มสายชู (CH3COOH)
ั
เบส (Base) หมายถึ ง สสารทีปล่อยประจุ ไฮดรอกไซด์ (OH-) ให้กบสารละลาย ตัวอย่างเช่ น
โซเดียมไฮดรอกไซด์ เมือแตกตัวจะให้ประจุไฮดรอกไซด์ ตามสู ตร NaCL -> Na+ + OH- เมือโลหะไฮดรอก
ไซด์ละลายนํ%า มันจะปล่อยประจุไฮดรอกไซด์ออกมา เราเรี ยกว่า “ด่าง” (Alkali) สสารทีเป็ นเบส ได้แก่
ปูนซี เมนต์ (CaO) แอมโมเนีย (NH3)
ในการวัดความเป็ น กรด – เบส ในสารละลายนั%น เราใช้คาว่า “pH” เป็ นตัวบ่งชี% ตัว p ย่อมาจาคําว่า power
ํ
ซึ งมีความหมายในเชิงยกกําลัง ส่ วน H นั%นหมายถึง ความเข้มของประจุไฮโดรเจน pH มีค่าเป็ นตัวเลขตั%งแต่
0 – 14 สารประกอบทีมีค่า pH 5 มีประจุไฮโดรเจนมากกว่า สารประกอบทีมีค่า pH 6 ถึง 10 เท่า นํ%าบริ สุทธิ"
มีค่า pH เป็ นกลางอยูที pH 7 นั%นหมายถึง นํ%า 1 ลิตร ทีอุณหภูมิ 25°C มีประจุไฮโดรเจน และประจุ ไฮดรอก
่
่ํ
ไซด์ อยูจานวนเท่ากันคือ 1 x 10 –7 โมล
pH มีค่าน้อย แสดงว่า สารประกอบนั%นมีความเป็ นกรดสู ง เช่น นํ%ามะนาวมี pH = 2.3
pH มีค่ามาก แสดงว่า สารประกอบนั%นมีความเป็ นเบสสู ง เช่น นํ%ายาทําความสะอาดพื%นมี pH = 13
สิ งมีชีวิตในนํ%าส่ วนมากมักอาศัยอยูในนํ%าทีมีค่า pH 6.5 – 9 โดยปกติน% าฝนตามธรรมชาติจะมีความ
่ ํ
เป็ นกรดเล็กน้อย เนืองจากการละลายก๊าซคาร์ บอนไดออกไซด์ในอากาศ แต่ทว่าในเขตอุตสาหกรรมทีมีการ
ปล่อยก๊าซเสี ยออกมา จะทําให้เกิดสภาวะฝนกรด นํ%าฝนทีสะสมอยูในแหล่งนํ%าทําให้ค่า pH ตําลง เมือ pH ตํา
่
กว่า 5.5 ปลาจะตายหมด เมือ pH มีค่าตํากว่า 4 จะไม่มีสิงมีชีวิตใดทนทานได้เลย การศึกษาความเป็ นกรด –
เบส ของนํ%าจึงมีความสําคัญมากต่อการประมงและการเกษตร
- 11. บทที 3
อุปกรณ์ และวิธีการทดลอง
วัสดุอุปกรณ์
1. ขี%เถ้า 6 ถ้วย
2. นํ%าเปล่า 12 ถ้วย
3. นํ%ามะนาวแท้ ¼ ถ้วย
4. ผ้ากรอง / ตะแกรงกรองสิ งสกปรก 1 ผืน
5. กระดาษวัดค่า Ph 12 แผ่น
แผนการดําเนินงาน
วัน / เดือน / ปี ขั4นตอนการดําเนินงาน
2 กุมภาพันธ์ 2556 - กําหนดหัวข้อ/หัวเรื องทีต้องการศึกษา
5 กุมภาพันธ์ 2556 - นําหัวข้อโครงงานไปขอคําปรึ กษาจากครู ทีปรึ กษา
8 กุมภาพันธ์ 2556 - ศึกษา ค้นคว้า หาข้อมูล รายละเอียดทีเกียวข้องกับ
โครงงาน
9 กุมภาพันธ์ 2556 - แบ่งงานให้สมาชิกทุกคนในกลุ่ม
17 กุมภาพันธ์ 2556 - ทํานํ%ายาล้างจานจากขี%เถ้า
18 กุมภาพันธ์ 2556 - สรุ ปผลการทํานํ%ายาล้างจานจากขี%เถ้า
20 กุมภาพันธ์ 2556 - จัดทําเป็ นรู ปเล่มโครงงาน
- 12. วิธีทาการทดลอง
ํ
1. ใช้น% า6 ถ้วย ผสมกับขี%เถ้า 4 ช้อนโต๊ะ ส่ วนคนให้เข้ากัน ปิ ดฝาทิ%งไว้ 3 วัน
ํ
2. ขี%เถ้าจะตกตะกอน ค่อยๆเทนํ%าส่ วนทีใส ใส่ ผากรอง
้
3. นํานํ%าขี%เถ้าทีกรองแล้ว ผสมกับนํ%ามะนาว คนให้เข้ากัน ใช้กระดาษวัดค่า PH ให้ได้ค่าเป็ น กลาง
4. นํานํ%ายาล้างจานจากขี%เถ้ามาทดสอบกับจานทีมีคราบต่างๆทีเกิดจากเศษอาหาร แล้วสังเกตผลว่า จาน
มีลกษณะทีเปลียนแปลงขึ%นหรื อไม่ หากเปลียนแปลงแสดงว่าขี%เถ้ามีประสิ ทธิ ภาพในการล้างจานจริ ง
ั
- 13. บทที 4
ผลการทดลอง
ตารางการทดลอง
คราบจากเศษอาหาร ผลการทดลอง
คราบไขมันจากไข่ เจียว - จานใสขึน คราบไขมันลดลง เมือสั งเกตจากครั4งแรกทียังไม่ ได้ ล้าง
4
คราบครีมจากเค้ ก - จานใสขึน คราบครีมลดลง เมือสั งเกตจากครั4งแรกทียังไม่ ได้ ล้าง
4
คราบอืนๆ เช่ น คราบทีจาก
หม้ อต้ มแกง คราบทีติดจาก
- ภาชนะใสขึน คราบลดลง เมือสั งเกตจากครั4งแรกทียังไม่ ได้ ล้าง
4
กระทะทีผัด เป็ นต้ น
- 14. บทที 5
อภิปรายผลการทดลอง
อภิปรายผลการทดลอง
การทดลองครั%งที 1 เมือล้างคราบไขมันในจาน ผลปรากฏว่าจานใสขึ%น คราบไขมันลดลง จากการ
สังเกตครั%งแรกทียังไม่ได้ลาง
้
การทดลองครั%งที 2 เมือล้างคราบครี มในจาน ผลปรากฏว่าจานใสขึ%น คราบครี มลดลง เมือสังเกต
จากครั%งแรกทียังไม่ได้ลาง
้
การทดลองครั%งที 3 เมือล้างคราบอืนๆ เช่น คราบทีจากหม้อต้มแกง คราบทีติดจากกระทะทีผัด
เป็ นต้นในจาน ผลปรากฏว่าจานใสขึ%น คราบลดลง เมือสังเกตจากครั%งแรกทียังไม่ได้ลาง้
จาการทดลองผลปรากฏว่า จากการใช้น% ายาล้างจานจากขี%เถ้าช่วยชะล้างคราบทีติดตามภาชะต่างๆ
ํ
ทีเกอดจากการต้ม การผัด การทอด เป็ นต้น ได้ดีกว่าการล้างคราบทีติดจานมากกว่า
สรุ ปผลการทดลอง
จากาการทดลองสามารถสรุ ปได้ว่าเมื อขี% เถ้าทําปฎิ กิริยากับมะนาวจะทําให้ค่าที ได้มีสมบัติเป็ น
กลาง อีกทั%งยังมีประสิ ทธิ ภาพทีช่วยในการชะล้าง คราบต่างๆทั%ง คราบไขมัน ครี ม หรื อคราบทีเกิดจากการ
ต้ม ผัด ในกระทะ หม้อ เพราะในขี%เถ้ามีสารทีเรี ยกว่า Na2CO3 เป็ นสารประกอบเกลือของกรดคาร์ บอนิ ก มี
ลักษณะเป็ นผงสี ขาว ไม่มีกลิ น สามารถดูดความชื% นจากอากาศได้ดี ละลายได้ในนํ%า มีฤทธิ" เป็ นด่างแก่เมือ
ละลายนํ%า ละลายได้เล็กน้อยในแอลกอฮอล์ มีประโยชน์ในการทําความสะอาดภาชนะภายในครัวเรื อนและ
เมือทําปฏิกิริยากับมะนาวซึ งมี ส่ วนประกอบของสารซิ โตรเนลลัล ซิ โครเนลลิล อะซี เตต ไลโมนี น ไลนาลูล
เทอร์ พีนีออล รวมทั%งมี กรดซิ ตริ ค กรดมาลิ ค และกรดแอสคอร์ บิก ซึ งถื อเป็ นกรดผลไม้ ที ช่ วยในการทํา
ความสะอาดให้มีประสิ ทธิ ภาพมากยิงขึ%น
ประโยชน์ ของการทํา สาวใช้ ไฮเทค
1.สามารถนําสิ งทีเราไม่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่อีกครั%ง
2.ได้ความรู ้เกียวกับการทํานํ%ายาล้างจาน
- 16. 2.วิธีการทํา นํายาล้ างจานจาก ขีเ4 ถ้ า
4
เตรี ยม นํ%ามะนาว ¼ ถ้วย ขี%เถ้า 4 ช้อนโต๊ะ นํ%า 6 ถ้วย
.
1.ใช้น% า 6 ถ้วย ผสมกับขี%เถ้า 4 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน
ํ 2. ขี%เถ้าจะตกตะกอน ค่อยๆเทนํ%าส่ วนทีใส
ปิ ดฝาทิ%งไว้ 3 วัน ใส่ ผากรอง
้
- 18. บรรณานุกรม
- (ออนไลน์).แหล่งทีมา : www.maceducation.com/e-knowledge/2412212100/14.htm . 12 กรกฎาคม
2555.
- จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี . 2555.(ออนไลน์).แหล่งทีมา : http://www.answers.com. 12 กรกฎาคม 2555.
- ( ออนไลน์ ).2555.แหล่งทีมา : www.watisan.com/wizContent.asp. 15 กรกฎาคม 2555.
- จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี . 2555.(ออนไลน์).แหล่งทีมา : www.il.mahidol.ac.th. 23 กรกาคม 2555.